วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ชาวบ้านกว่า 30 คน ที่สูดดมสารเคมีรั่ว แพทย์ให้กลับบ้านทั้งหมดแล้ว แต่ยังต้องประเมินกลิ่นกำมะถันกรณีเกิดเหตุก๊าซกำมะถัน



ชาวบ้านกว่า 30 คน ที่สูดดมสารเคมีรั่ว แพทย์ให้กลับบ้านทั้งหมดแล้ว แต่ยังต้องประเมินกลิ่นกำมะถันกรณีเกิดเหตุก๊าซกำมะถัน ของบริษัทซันชาย ไบโอเทค อินเตอร์เนชั่นแนล ในเขตอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี รั่วไหล ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยใกล้เคียงเกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ ต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลกว่า 30 คน ตั้งแต่ช่วงกลางคืนวันนี้(25 พ.ย.2559) แพทย์ได้อนุญาตให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล เกือบทั้งหมดแล้ว
ขณะที่โรงเรียนวัดบุยายใบ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานดังกล่าว ประมาณ 500 เมตร ต้องหยุดเรียนตั้งแต่ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เนื่องจาก ยังคงมีกลิ่นสารเคมีเป็นระยะ ทั้งนี้ จะประเมินสถาการณ์อีกครั้งในเช้าวันจันทร์ว่า จะเปิดเรียนได้ตามปกติหรือไม่
ส่วนการตรวจสอบหาสาเหตุ เจ้าหน้าที่สั่งให้ระงับการใช้เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของก๊าซกำมะถัน และให้เร่งซ่อมแซมโดยเร็ว
ส่วนการดำเนินคดีกับโรงงาน เบื้องต้น จะดำเนินคดีฐานกระทำการโดยประมาท และหากการตรวจสอบพบว่า เป็นการตั้งใจกระทำการโดยประมาท ก็จะระงับหรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ

ผลกระทบสารเคมีซ.รามคำแหง



สารเคมีที่เป็นอันตราย ตามกฎหมายห้ามนำเข้ามาเก็บในพื้นที่แหล่งชุมชน แต่ที่ผ่านมายังพบบริษัท และห้างร้านจำนวนมากละเลย และมีการลักลอบเก็บโดยไม่ขออนุญาต ล่าสุดเป็นของบริษัทบิวตี้โปรเฟสชั่นนัล ใน ซ.รามคำแหง 104 ซึ่งมีการรั่วไหล ส่งผลกระทบด้านกลิ่นจนต้องอพยพนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในรัศมี 200 เมตร
การขนย้ายกล่องผลิตภัณฑ์ฟอกสีผม ที่เกิดการรั่วไหล จนเกิดควันสีขาวฟุ้งกระจายในปริมาณที่หนาแน่น ภายในอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ซ.รามคำแหง104 เจ้าหน้าที่ป้องกันบรรเทาและสาธารณภัยจึงต้องสวมใส่ชุดป้องกันสารเคมี หรือ ชุดอาร์บี เพื่อไม่ให้สารเคมีสัมผัสร่างกาย หรือสูดดมเข้าไประยะเวลาในการวางแผน และขนย้ายรวมกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มจากเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าไปสำรวจร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจหาความรุนแรงและระดับสารเคมีที่เกิดการรั่วไหล พบว่าสารเคมีดังกล่าวเป็นสารประกอบรองของสารโปรแตสเซียม เปอตันเฟส และสารโซเดียมเปอซันเฟส ทำปฏิกิริยาจนเกิดความร้อนปล่อยก๊าสซันเฟอไดออกไซด์ และไฮโดรเยนซัลไฟ ลักษณะเป็นควันสีขาวฟุ้งกระจายในปริมาณหนาแน่น ทำให้เกิดมลพิษโดยรอบ ทางแก้ไขที่ทำได้คือการขนย้ายกล่องผลิตภัณฑ์ที่เกิดความเสียหายหว่า 200 กล่อง ลงมาจากชั้น 4 ใส่ในถังพลาสติก ก่อนฉีดน้ำเพื่อลดการฟุ้งกระจายนอกจากเกิดมลพิษในบริเวณรัศมี 200 เมตร กรุงเทพมหานครก็ยังพบว่าก๊าซยังฟุ้งกระจายไปยังโรงเรียนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ แม้เจ้าหน้าที่จะควบคุมไม่ให้สารเคมีเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น แต่ทางโรงเรียนโสมาภานุสสรณ์ จำเป็นต้องอพยพนักเรียนกว่า 1,500 คน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 ออกจากพื้นที่ หลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงสำหรับผลกระทบ และผลข้างเคียงหากสัมผัส หรือสูดดมก๊าซในปริมาณที่มากเกินกำหนด จะรู้สึกแสบจมูก แสบตา และอาเจียน บางรายอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจมีผลต่อปอด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ส่วนสาเหตุ ของการรั่วไหลเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสันนิษฐาน อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์หมดอายุ เมื่อถูกความชื้นจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาของสารเคมีขึ้น สอดคล้องกับการตรวจสอบใบอนุญาติการเก็บสารเคมี ที่เจ้าหน้าที่คาดว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่ได้ขอใบอนุญาตจากทางสำนักงานเขต และเก็บผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยแยกประเภทของสารเคมีเป็นกลุ่มออกจากกัน

เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในทะเลนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง



หลังจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในทะเลนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยองของบริษัทพีทีที กลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทในกลุ่มปตท. เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา 6 วันหลังเหตุการณ์ วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม2556 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด พร้อมด้วยนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ได้ออกมาแถลงข่าวเป็นครั้งแรกที่ห้องประชุมอาคาร 1 ชั้น 6 เวลา 15.00 น. พร้อมสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอฟังการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยข้อมูล ภาพถ่าย ที่โพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดียมากมาย และข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันภาพที่นำมาโพสต์หรือนำมาเผยแพร่ที่ต่อๆกัน อาจจะไม่ใช่ภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน จึงทำให้การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นคล้ายบรรยากาศสดจากสนามผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานแถลงข่าว ทางบริษัท ปตท. ได้จัดเตรียมอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัย อาทิ จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่รอบห้อง จากนั้นนายไพรินทร์เริ่มแถลงข่าวโดยกล่าวคำขอโทษและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และยืนยันว่าจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างจริงจัง พร้อมเปิดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ถ่ายทอดสดจากอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เพื่อให้สื่อมวลชนเห็นว่าขณะนี้หาดทรายและน้ำทะเลใกล้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว

ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534 เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวต



ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534 เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวตมากถึง 240-336 ล้านแกลลอน รั่วไหลไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซียครอบคลุมพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะฮาวายเสียอีก ไม่นับรวมน้ำมันในบ่อน้ำมันที่ถูกเผาไปอีกราว 1-1.5 พันล้านบาร์เรล สาเหตุมาจากทหารอิรักที่ยาตราทัพบุกยึดคูเวตได้เปิดวาล์วบ่อน้ำมัน 600 บ่อ และท่อส่งน้ำมันระหว่างถอนทหารออกจากคูเวตเพื่อขัดขวางทหารอเมริกันไม่ให้ตีโต้เร็วเกินไปนัก กว่าจะดับไฟที่ลุกโชนเหนือบ่อน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 10 เดือนในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น กองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดสมาร์ทบอม์หยุดยั้งการรั่วไหลของน้ำมันจากท่อส่งน้ำมัน แต่การฟื้นฟูต้องชะลอออกไปชั่วขณะ จนกระทั่งสงครามยุติลงแล้ว ระหว่างนั้นได้วางทุ่นกักน้ำมัน (boom) เพื่อดักจับคราบน้ำมันซึ่งเกิดไฟลุกโชนกลางอ่าวเปอร์เซียเป็นวงกว้างขนาด 25 ไมล์ รวมทั้งใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์ (skimmer) 21 ตัว เพื่อนำคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ และยังใช้รถบรรทุกดูดคราบน้ำมันไปทิ้งด้วย ทั้งหมดนี้สามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ราว 58.8 ล้านแกลลอนจากรายงานของยูเนสโกระบุว่า เหตุน้ำมันรั่วไหลที่อ่าวเปอร์เซียในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประมงท้องถิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายงานนี้สรุปด้วยว่าราวครึ่งหนึ่งของคราบน้ำมันได้ระเหยกลายเป็นไอ อีกราวหนึ่งในแปดได้รับการชำระล้าง อีกหนึ่งในสี่ซัดเข้าชายฝั่งของซาอุดีอาระเบีย

เกาหลีใต้ประกาศเขตภัยพิบัติ หลังสารเคมีรั่วไหล-เสียหายหนัก


     

เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศพื้นที่เขตภัยพิบัติพิเศษ (special disaster) บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในวันนี้ หลังเกิดอุบัติเหตุสารเคมีรั่วไหล จากการระเบิดภายในโรงงานผลิตสารเคมีแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านม   โดยเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุกรดไฮโดรฟลูออริก หรือกรดกัดแก้ว ปริมาณสูงถึง 8 ตัน รั่วไหลออกจากโรงงานผลิตสารเคมี ใกล้กับเมืองกูมิ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้มีคนงานเสียชีวิต 5 ศพ เนื่องจากสารเคมีระเบิดขณะทำการขนย้าย และประชาชนกว่า 3,000 คน ล้มป่วยด้วยอาการคลื่นไส้ มีผื่นคันตามร่างกาย รวมถึงเจ็บคอและเจ็บหน้าอก มีเลือดในน้ำลายด้วย นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่หมู่บ้านชนบท พื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายกว่า 500 เอเคอร์ สัตว์ที่เลี้ยงไว้ล้มตายกว่า 3,200 ตัว และทำให้บริษัท 80 แห่ง จำต้องปิดตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 17.7 พันล้านวอน (ประมาณ 492 ล้านบาท)สำหรับมาตรการในการช่วยเหลือเบื้องต้นของรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้มีการอพยพชาวบ้านกว่า 300 คน ออกจากพื้นที่ให้ไปอยู่ที่พักอาศัยชั่วคราวที่ปลอดภัยกว่า และให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการป้องกันสารพิษ ตลอดจนการเยียวยาประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยจะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน ที่ครอบคลุมถึงการได้ลดภาษีเป็นการชั่วคราว และค่าชดเชยจากส่วนราชการในจำนวนที่เหมาะสม

พบสารเคมีต้องห้ามเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ตกค้างในส่วนลึกที่สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก


สารเคมีเหล่านี้ถูกใช้อย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลังจากนั้นก็พบว่าเป็นพิษและสะสมในสภาพแวดล้อมดร.อลัน เจมีสัน และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้เก็บตัวอย่างจากเนื้อเยื่อไขมันของแอมฟิพอด (สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งชนิดหนึ่ง) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยใช้ยานดำน้ำสำรวจพื้นมหาสมทุรที่ออกแบบมาพิเศษ ปล่อยจากเรือที่ลอยอยู่เหนือร่องน้ำมารีอานา และเคอร์มาเดค ลึกลงไป 10 กิโลเมตร และห่างกัน 7,000 กิโลเมตรสารก่อมลพิษที่พบในตัวแอมฟิพอด รวมถึง โพลีคลอรีเนต ไบเฟนิล (PCBs) และโพลีโบรมิเนต ไดเฟนิล เอเธอร์ (PBDEs) ซึ่งใช้ในการผลิตฉนวนสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และวัสดุทนไฟรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการผลิต PCB เมื่อปี 1979 และในปี 2001 ก็มีการลงนามในอนุสัญญาสต็อกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants)แต่ปริมาณการผลิตสาร PCBs ทั่วโลก จากช่วงปี 1930 จนถึงที่ถูกสั่งห้ามในปี 1970 คาดว่าจะมีถึง 1.3 ล้านตัน ซึ่งสารที่ถูกปล่อยสู่สภาพแวดล้อมทั้งจากอุบัติเหตุในอุตสาหกรรม และการไหลซึมจากกองขยะ สามารถทนทานต่อการย่อยสลายตามธรรมชาติได้ ทำให้ยังคงตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อม และในผลการศึกษาระบุว่า ยากที่จะขยายขอบเขตการวิเคราะห์ระดับการปนเปื้อนของสารที่พบบริเวณพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก โดยสาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากการใช้วิธีวัดค่าและเก็บข้อมูลสารปนเปื้อนที่ต่างกันในผลศึกษาก่อนหน้านี้
พบสารเคมีในห่วงโซ่อาหารรายงานระบุด้วยว่า ระดับสาร PBCs พี่พบในร่องน้ำลึกมารีอานา สูงกว่าที่พบในตัวปูจากบริเวณทุ่งนาที่รับน้ำจากแม่น้ำเลี่ยวเหอ ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีมลพิษมากที่สุดในจีน โดย ดร.เจมีสัน กล่าวว่า "แอมฟิพอด ที่เก็บตัวอย่างได้ มีระดับสารพิษปนเปื้อน มากพอ ๆ กับในอ่าวซูรุกะ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมที่มีมลภาวะสูงที่สุดของทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก"แปซิฟิก พร้อมกับขยะพลาสติกปนเปื้อนและซากสัตว์ที่จมลงสู่ใต้ทะเล ซึ่งต่อมากลายเป็นอาหารของแอมฟิพอดและสัตว์ทะเลน้ำลึกอื่น ๆ โดยคณะผู้เขียนรายงานผลการศึกษา ระบุว่า เบื้องลึกของมหาสมุทร อาจกลายเป็น "อ่างเก็บ" หรือแหล่งรวมสารมลพิษได้ นอกจากนี้ ก็ให้เหตุผลว่า สารเคมีจะสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเมื่อจมลงถึงระดับน้ำลึกในมหาสมุทร ความเข้มข้นก็จะสูงกว่าที่บริเวณใกล้ผิวน้ำด้านเคเธอรีน แดฟฟอร์น แห่งมหาวิทยาลัย นิวเซาท์ เวลส์ ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาชิ้นนี้ กล่าวว่า "แม้คณะนักวิจัย จะสามารถวัดความเข้มข้นของสาร PCBs และ PBDEs ได้ในตัวสัตว์น้ำเปลือกแข็งที่อยู่บริเวณร่องน้ำลึกในมหาสมุทร แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลมากนักในแง่แหล่งที่มา และกลไกของการไหลมารวมกันบริเวณนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบที่เป็นพิษของสารเหล่านี้ ซึ่งอ้างว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการเพิ่มปริมาณทางชีวภาพสู่ห่วงโซ่อาหาร ก็ยังรอการทดสอบอยู่" แต่อย่างน้อย ผลการศึกษานี้ก็ "เป็นหลักฐานว่าส่วนที่ลึกลงไปของมหาสมุทร ไม่ใช่ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป กลับมีความเชื่อมโยงกับผิวน้ำด้านบน และยังได้รับสารมลพิษที่ก่อโดยมนุษย์ในปริมาณเข้มข้นด้วย"

กษ.จ่อสุ่มตรวจตัวอย่างพืช-ดิน-น้ำในพื้นที่เสี่ยงมีสารเคมี


กษ. ยันปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ ไม่ใช่เกษตรอินทรีย์ ใช้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชได้ แต่ใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เผยแผนวิจัยสุ่มตรวจและเก็บตัวอย่างพืช  ดิน  น้ำ ในพื้นที่มีปัญหาเมื่อวันที่ 16 ก.ค. นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีเพจ MOREMOVE นำเสนอข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ระบุว่า พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานในผักไฮโดรโปนิกส์มากกว่าผักปลูกโดยใช้ดิน ว่า  การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ไม่ใช่การทำเกษตรอินทรีย์เกษตรกรจึงสามารถใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตรายได้   และเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกับการปลูกพืชในระบบ GAP หรือการปลูกพืชในระบบอื่น  ซึ่งหากปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวจะไม่มีสารตกค้างในผลผลิตแต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม การปลูกพืชในดินโดยปกติสารเคมีจะมีการสลายตัวได้เร็วเนื่องจากปัจจัยของอุณหภูมิและแสงแดดรวมทั้งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยสลายสารเคมีลงไปในดิน   แต่การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินหรือในโรงเรือนจะไม่มีจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยจึงสลายตัวได้ช้า  อย่างไรก็ตามกรมวิชาการเกษตรมีคำแนะนำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในโรงเรือนใช้ชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโครเดอร์มา  และไส้เดือนฝอยทดแทนการใช้สารเคมี  หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ตามคำแนะนำในฉลากและเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวให้ถูกต้องอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นอกจากการให้การรับรองแหล่งผลิตแล้วกรมวิชาการเกษตรยังมีมาตรการในการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผลผลิตโดยติดตามสุ่มเก็บตัวอย่างผลผลิตแล้วนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในห้องปฏิบัติการ โดยสุ่มเก็บทั้งในแปลงซึ่งเป็นแหล่งผลิต  จุดรวบรวมผลผลิตในและโมเดิร์นเทรด โดยมีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างทั่วประเทศรวมจำนวน 9,000 – 10,000 ตัวอย่าง นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังได้จัดทำโครงการวิจัยแร่งด่วน  โดยทำการสำรวจสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย  และวิจัยสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ที่มีความเสี่ยงจากสารเคมีทางการเกษตร ด้วย โดยสำรวจและติดตามผลกระทบในน้ำและดินมีเป้าหมายในการเก็บชนิดและจำนวนตัวอย่าง 800 ตัวอย่างเพื่อนำมาตรวววิเคราะห์สารตกค้าง

ชาวบ้านร้อง กลิ่นสารเคมีลอยทั่วหมู่บ้าน จนท.พบขยะพิษกว่า 1,000 ตัน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายรณภพ เวียงสิมมา นายอำเภอเมืองราชบุรี พร้อมกับ พ.ต.อ.อภิชาต พุทธบุญ ผู้กำกับการ สภ.เมืองราชบุรี และ นายจำนง จันทรวงศ์ ปลัดอำเภอเมืองราชบุรี พร้อมเจ้าหน้าที่กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรม จ.ราชบุรี เข้าตรวจสอบบริษัท มิราเคิล เลเธอร์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 159 หมู่ 9 ต.ห้วยไผ่ อ.เมือง จ.ราชบุรี หลังได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่า โรงงานของบริษัทดังกล่าว ได้มีกลิ่นโชยออกมาจากโรงงานเหม็นไปทั่วบริเวณ อีกทั้งยังมีแรงงานต่างด้าวมา

ทำงานอยู่ด้วยจากการตรวจสอบ พบแรงงานต่างด้าวจำนวนมาก กำลังทำงานอยู่ภายในโรงงาน จึงได้เข้าควบคุมตัวไว้ แต่มีบางส่วนหลบหนีไปได้ โดยสามารถควบคุมตัวมาสอบสวน จำนวน 43 คน แบ่งเป็นแรงงานชาวเมียนมา จำนวน 32 คน โดยทั้งหมดไม่มีบัตรมาแสดงตัวตน อ้างว่าบัตรอยู่ที่นายจ้าง และยังพบแรงงานชาวจีนอีก 11 คน ซึ่งทั้งหมดอ้างว่ามีบัตรพาสปอร์ต เป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาดูกระบวนการทำงานของบริษัท เพื่อจะนำไปปรับใช้กับระบบอุตสาหกรรมในประเทศของตนเอง เจ้าหน้าที่จึงนำตัวแรงงานทั้งหมดตรวจสอบว่า มีการเข้าเมืองถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่นอกจากนี้ ยังพบว่าภายในโรงงานมีเครื่องจักรกล มีสายพานลำเลียงขยะอิเล็กทรอนิกส์มารีไซเคิล ซึ่งมีทั้งอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ พลาสติก และแผงไฟ ที่มีการคัดแยกแล้วบางส่วน และอยู่ระหว่างการเตรียมคัดแยกที่กองไว้และที่บรรจุในถุงรวมแล้วมากกว่าหนึ่งพันตัน โดยบางส่วนถูกนำมาบดอัด และทำเป็นเม็ดพลาสติกโดย นายอารยะ เนตรวงษ์ หัวหน้ากลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรม จ.ราชบุรี เผยว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่ผ่านมาได้เข้ามาทำการตรวจสอบที่โรงงานแห่งนี้แล้ว ซึ่งเดิมเคยมีการขออนุญาตประกอบกิจการฟอกหนัง ทำหนังเทียม และมีการคัดแยกขยะ แต่ตรวจสอบก็พบว่ามีการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์มาทำการรีไซเคิล ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรงงาน ซึ่งประกอบกิจการผิดประเภท และจะต้องทำการตรวจสอบเรื่องของการนำเข้ามาว่าถูกต้องหรือไม่ และมีจำนวนเท่าไหร่ล่าสุด ได้มีคำสั่งให้หยุดดำเนินการไปแล้ว แต่มาวันนี้พบว่ายังมีการทำงานอยู่ ก็จะต้องดำเนินคดีต่อไปอีก เพราะฝ่าฝืนคำสั่ง ส่วนขยะพลาสติกที่พบนั้น กำลังให้ทางเจ้าของโรงงานนำเอกสารมาแสดง เบื้องต้น ยังไม่พบใบอนุญาตในการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์เข้ามา และประกอบกิจการในส่วนของการบดอัดเม็ดพลาสติกโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงจะต้องแจ้งดำเนินคดีเพิ่มอีก

สารเคมีจากเคสมือถือกลิตเตอร์อาจเสี่ยงผิวหนังไหม้-พุพอง




เคสโทรศัพท์มือถือชนิดที่สามารถใส่ของเหลว ทั้งแบบมีสีและไม่มีสี ผสมกลิตเตอร์ หรือกากเพชรวิววับ เป็นที่นิยมในหมู่คนไทย และชาวต่างชาติมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่เห็นทีจะไม่ปลอดภัย 100% เมื่อมีรายงานข่าวจากต่างประเทศว่า เด็กหญิง 9 ขวบ เกิดเหตุของเหลวจากเคสโทรศัพท์มือถือรั่วไหล สัมผัสบนผิวหนังขณะนอนหลับทับเคส ตื่นเช้ามาพบรอยไหม้ และพุพองนอกจากนี้ ผศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังเตือนว่าหากผิวหนังสัมผัสของเหลวภายในเคสมือถือ ให้รีบล้างออกด้วยน้ำเปล่ามากๆ เพื่อป้องกันผิวหนังพุพองจากสารเคมี"ระวังอันตรายจากสารเคมี ในเคสมือถือ กลิตเตอร์ปรกติผมไม่ค่อยชอบโพสต์แบบเตือนภัยอันตรายต่างๆ เพราะเดี๋ยวนี้กลัวว่าพลังของโซเชียลมันจะทำให้สังคมแตกตื่นเกินไป แต่เรื่องนี้เห็นว่ายังไม่ค่อยเป็นที่ตระหนักกัน จึงขอยกขึ้นมาหน่อยเถอะทางรายการ "ทุกข์ชาวบ้านสุดสัปดาห์" ช่อง TNN24 ได้มาขอสัมภาษณ์จากกรณีข่าวที่มีเด็กหญิงวัยแค่ 9 ปี นอนทับเคสโทรศัพท์มือแบบที่มีของเหลวใสใส่ตัวกลิตเตอร์สะท้อนแสงวาวๆ อยู่ด้านหลัง แล้วตื่นเช้ามา เกิดเป็นรอยแผลไหม้สารเคมีพุพอง ... เรื่องนี้จริงเท็จเป็นเช่นไรจากการเช็คกูเกิ้ล แม้ว่าจะยังไม่เคยมีรายงานอันตรายลักษณะนี้ในไทย แต่ในต่างประเทศมีคนเจอแล้วหลายราย ทั้งในอังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ จนเชื่อได้ว่าน่าจะเรื่องจริง ที่สำคัญที่ ไม่มีการเขียนเตือนไว้เลยที่กล่องสินค้า ว่าให้ระวังอันตรายจากสารเคมีแม้ว่าจะไม่ทราบว่าสารเคมีข้างในนั้นคืออะไร (สงสัยต้องขอให้ อ.อ๊อด Weerachai Phutdhawong ช่วยตรวจดู) แต่เท่าที่ลองซื้อมาจากร้านค้าทั่วไป แล้วเจาะเอามาทดสอบง่ายๆ พบว่า ของเหลวในนั้น มันมีกลิ่นฉุนรุนแรง นิ้วแตะๆ ดูแล้วรู้สึกร้อน ลองเอาไปเทราดเนื้อไก่ไว้ พบว่าเนื้อไก่เปื่อยยุ่ยใน 10 นาที (เสียดายว่าวัดพีเอชด้วยกระดาษอินดิเคเตอร์ ไม่พบว่าเป็นกรดหรือด่างเข้มข้น) จึงน่าจะฟันธงได้ว่า มันเป็นสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้จริงๆ ถ้ารั่วซึมออกมาดังนั้น การใช้เคสมือถือกลิตเตอร์แบบนี้จึงควรระวังเป็นอย่างมาก อย่าไปทำให้มันแตกรั่วซึม ถ้าสัมผัสร่างกาย ให้ล้างออกด้วยน้ำเปล่าเยอะๆๆที่ขอเรียกร้องอีกอย่างคือ ผู้ประกอบการเอง ก็ควรจะเขียนคำเตือนไว้ให้ชัดเจนบนกล่องสินค้าด้วย (เท่าที่เช็คกัน แม้แต่ยี่ห้อแพงๆ ก็ไม่เขียนคำเตือน)” 

ผักไทยพบสารเคมีตกค้างเกือบ 100% แทบทุกชนิด



ไม่ว่าจะช่วงเทศกาลกินเจ หรือช่วงปกติ การทานผักเป็นเรื่องที่เราควรทำเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี แต่ข่าวร้ายคือ คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) ตรวจพบสารเคมีตกค้างจากยาฆ่าแมลงในผักสดของไทยหลายชนิด ที่เกินค่ามาตรฐานไปมาก กล่าวคืออยู่ที่ 85-100% เลยทีเดียว นับว่าเป็นตัวเลขที่น่ากลัว จนต่างประเทศรับไม่ได้อย่างแน่นอนพบสารเคมีเกือบ 100% จริง!จากคลิปจะเห็นได้ว่า ตรวจพบผักที่มีสารเคมีจากยาฆ่าแมลงตกค้างอยู่หลายชนิด เช่น ผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างอยู่ที่ 85% ผักบุ้งจีน 98% ผักกวางตุ้ง 99% และกะหล่ำปลี ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ แตงกวา พบมากถึง 100% เรียกได้ว่าพบสารเคมีตกค้างทุกแหล่งผลิตเลยก็ว่าได้ เพราะคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล (รพ.ศิริราช) สุ่มเก็บตัวอย่างมาทดสอบจากกว่า 100 แห่ง จากหลายจังหวัดทั่วประเทศ และในทุกฤดูกาลเลยทีเดียวปลูกผักผลไม้ที ใช้สารเคมี 20 กว่าชนิด?นอกจากจะเจอสารเคมีตกค้างในผักยอดนิยมของคนไทยหลายชนิดแล้ว แต่ละชนิดยังไม่ได้พบสารเคมีแค่ตัวเดียวอีกด้วย เช่น ในผักคะน้า พบสารเคมีตกค้างมากถึง 12 ชนิด มังคุด พบสารตกค้างมากถึง 20 ชนิด หรือว่าจะเป็นส้มที่พบมากถึง 21 ชนิดเช่นกัน นั่นหมายความว่าเกษตรกรใช้สารเคมีมากถึง 21 ชนิดในการปลูกส้มนั่นเอถูก-แพง ก็พบสารเคมีเหมือนกัน!นอกจากนี้ รศ. ดร. สมพนธ์ วรรณวิมลรักษ์ จากศูนย์วิจัยพัฒนานวัตกรรม คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล ดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการวิจัยผัก และผลไม้ที่ปลอดภัยเพื่อครัวโลก ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ราคาของผักไม่ได้การันตีว่าจะไม่พบสารเคมี หรือพบสารเคมีมากกว่าหรือน้อยกว่าแต่อย่างใด จากการสุ่มตรวจหาสารเคมีตกค้างในผักผลไม้ทั้งจากตลาดสด และในซุปเปอร์มาร์เก็ตขึ้นหาก ทั้งจากแหล่งผลิตที่เขียนข้างบรรจุภัณฑ์ชัดเจนว่า “ผักปลอดสารพิษ” “ผักอินทรีย์” สุดท้ายก็เจอสารเคมีเพียบ นั่นหมายความว่าเราจ่ายเงินมากกว่าหลายเท่า แต่ได้ผักผลไม้ที่มีสารเคมีตกค้างมากเท่าๆ กับผักผลไม้ในตลาดสด
เคล็ดลับการล้างผักผลไม้ เพื่อลดสารพิษ ยาฆ่าแมลง สารเคมีตกค้างต่างๆ
1. ล้างผักผลไม้ด้วยด่างทับทิม ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้:20-30%
2. ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
3. ล้างด้วยน้ำผสมผงฟู หรือเบกกิ้งโซดา ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 30-40%
4. ล้างผักด้วยวิธีน้ำไหล โดยแยกใบผัก กลีบผักออกมา แช่ในน้ำ 10 นาที จากนั้นหยิบใบผักขึ้นมา เปิดก็อกให้น้ำไหลผ่านผักและผลไม้ทีละใบ ทีละก้าน ถูๆ ให้สะอาดราว 2 นาที วิธีนี้ช่วยลดปริมาณสารตกค้างในผักผลไม้ได้ 60-70%มาถึงตรงนี้ ในฐานะผู้บริโภคก็ควรจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง ด้วยการใส่ใจล้างผัก และผลไม้อย่างถูกวิธี แต่ในทางกลับกัน การพบสารเคมีตกค้างในผัก และผลไม้เกินค่ามาตรฐานทั่วประเทศไทย ไม่เว้นจากแหล่งผลิตที่แปะป้ายไว้ว่าผักปลอดสารพิษ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่ภาครัฐควรเข้ามาตรวจสอบ แก้ไข และพัฒนาให้ดีขึ้น ให้ถูกต้อง เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชากรในประเทศ

สารเคมีที่ใช้ลอบสังหาร "คิม จองนัม" พี่ชายต่างมารดาของ "คิม จองอึน



สารเคมีที่ใช้ลอบสังหาร "คิม จองนัม"​ พี่ชายต่างมารดาของ "คิม จองอึน" ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ถูกระบุแล้วคือ สารเคมีทำลายประสาทวันที่ 24 ก.พ. 60 — สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) เปิดเผยว่า สารเคมีที่ใช้ลอบสังหาร นายคิม จองนัม พี่ชายต่างมารดาของ นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดเกาหลีเหนือ ถูกระบุแล้วคือ สารเคมีทำลายประสาท ที่มีชื่อว่า สารวีเอ็กซ์ เป็นของเหลวไม่มีสี ไม่มีกลิ่น และมีความเป็นพิษมากกว่าชาริน อีกทั้งสหประชาชาติยังจัดให้สารพิษชนิดนี้เป็นอาวุธอานุภาพทำลายล้างสูงอีกด้วย โดยมีการตรวจพบสารวีเอ็กซ์บนใบหน้าของนายจองนัม แม้ว่าทางมาเลเซียจะไม่ได้กล่าวตรง ๆ ว่า เกาหลีเหนือเป็นผู้ลงมือสังหารนายจองนัม แต่ก็กล่าวว่า เกาหลีเหนืออยู่เบื้องหลังการสังหารอย่างชัดเจนทั้งนี้ นายจองนัมถูกลอบสังหารที่สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จากการที่มีหญิง 2 คน ป้ายสารพิษบนหน้าของเขา และตอนนี้ ร่างของนายจองนัมยังคงถูกเก็บอยู่ที่ห้องดับจิตของโรงพยาบาลในมาเลเซีย

ยิ่งสีสด ติดทนนาน ยิ่งเสี่ยงอันตราย!



ลิปติกที่จะขอกล่าวถึงสำหรับสาวๆ ในที่นี้คือลิปสติกที่ถูกเติมแต่งด้วยสีสันอันฉูดฉาด เน้นเติมเสน่ห์เรียวปากให้ดูดี ในปัจจุบันที่เครื่องสำอางชนิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เป็นหนึ่งในตัวช่วยเสริมความมั่นใจให้สาวๆ ได้รู้สึกถึงความโดดเด่นของใบหน้า ทว่าในความงามนี้กลับกลายเป็นดาบสองคม เพราะบางยี่ห้อปนเปื้อนอยู่ด้วยสารเคมีอันตรายที่เรามองไม่เห็น แถมสารเคมีที่สัมผัสโดนริมฝีปากอันบอบบาง  หรือบางครั้งเผลอกลืนเข้าไปสะสมในร่างกายแบบไม่รู้ตัว อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวตามมาได้ยิ่งสีสด ติดทนนาน ยิ่งเสี่ยงอันตราย!ในยุคนี้เราจะเห็นว่ามีลิปสติกสีสันสดใสผลิตออกมามากขึ้น ยิ่งสีสดแค่ไหน ก็ยิ่งได้รับความนิยมมากขึ้นเท่านั้น แถมบางยี่ห้อยังเคลมอีกด้วยว่าเป็นลิปสติกที่สามารถติดทนอยู่กับริมฝีปากได้นานตลอดวันไม่มีหลุดในการทาเพียงแค่ครั้งเดียว หารู้ไม่ว่ามันเต็มไปด้วยสารเคมีที่ไม่ควรสัมผัสถูกผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็น สารกันบูดที่มักผสมอยู่ในเครื่องสำอางทั่วๆ ไป, พาราเบน, เมธอะคริเลท, สารตะกั่วปนเปื้อน และไตรโครซาน ฯลฯ

โรคผิวหนัง จากสารเคมี



โรคผิวหนัง จากสารเคมีนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า โรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี เป็นโรคที่พบบ่อยมากในกลุ่มผู้ที่ทำงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม และอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้วัสดุและสารเคมีที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังอย่างแพร่หลาย มีการใช้งานที่ไม่เหมาะสม หรือหากสัมผัสถูกผิวหนังโดยตรงโดยไม่มีเครื่องป้องกัน จะทำให้เกิดการระคายเคืองเกิดผื่นคันภูมิแพ้ที่ผิวหนัง และอาจเป็นโรคผิวหนังได้
อาชีพเสี่ยงโรคผิวหนังจากสารเคมีอาชีพที่มีความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังจากสารเคมีได้แก่
1.    คนงานก่อสร้างที่ผสมปูนซีเมนต์

2.    คนงานในโรงงานที่เกี่ยวข้องกับโลหะ เครื่องหนัง ยางสีย้อมผ้า กาวพลาสติก เส้นใยแก้ว สีพ่น รวมทั้งน้ำมันเบนซิน และน้ำมันเครื่อง

3.    คนที่ต้องทำงานสัมผัสกับอุปกรณ์ที่ทำจากโลหะชุบนิกเกิล งานอุตสาหกรรมทำเครื่องหนัง ดอกไม้พลาสติก

4.    เกษตรกรที่ต้องใช้ปุ๋ยสารกำจัดแมลงศัตรูพืช
5.    วิธีป้องกันโรคผิวหนังจากสารเคมี
ผู้ที่ประกอบอาชีพดังกล่าวข้างต้นควรดูแลสุขภาพของตนเอง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นภูมิแพ้ควรระวังเป็นพิเศษ โดยสวมอุปกรณ์ป้องกันสารเคมีก่อนเริ่มปฏิบัติงาน เช่น สวมถุงมือที่ทำจากวัสดุพีวีซีหรือยาง ใช้ผ้ากันเปื้อน หรือสวมชุดป้องกัน เป็นต้นโดยเลือกใช้อุปกรณ์ให้เหมาะสมกับงาน หากมีอาการแพ้หรือมีผื่นคันขึ้นตามผิวหนังให้รีบพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาต่อไปนายแพทย์สมบูรณ์  ทศบวร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลนพรัตนราชธานี กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากโรคผิวหนังทำให้เกิดการระคายเคือง ผื่นคัน และมักเป็นๆ หายๆ เกิดปัญหาทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย ดังนั้นแนวทางการป้องกันโรคผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี ได้แก่ หยุดสัมผัสสิ่งที่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองหรือภูมิแพ้โดยเลือกใช้สารที่อันตรายน้อยกว่าหรือปรับปรุงวิธีการทำงานให้มีโอกาสสัมผัสกับสารต่างๆให้น้อยที่สุด หมั่นทำความสะอาดพื้นบริเวณที่ทำงานเป็นประจำ และใช้ครีมทามือเพื่อป้องกันสารระคายเคือง ช่วยให้ทำความสะอาดมือง่ายขึ้น หรือใช้ครีมให้ความชุ่มชื้นทาผิวช่วยลดความแห้งตึงของผิวได้ หากมีบาดแผลต้องรีบทำความสะอาด  และปิดแผลด้วยผ้าปิดแผลที่สะอาดถ้าหากมีการระคายเคืองหรือผดผื่นเกิดขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เนื่องจากกรณีที่ผิวหนังแห้ง แตก เป็นแผล หากติดเชื้อจะทำให้โรคผิวหนังที่เป็นอยู่ลุกลามมากยิ่งขึ้น