วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

ชาวบ้านกว่า 30 คน ที่สูดดมสารเคมีรั่ว แพทย์ให้กลับบ้านทั้งหมดแล้ว แต่ยังต้องประเมินกลิ่นกำมะถันกรณีเกิดเหตุก๊าซกำมะถัน



ชาวบ้านกว่า 30 คน ที่สูดดมสารเคมีรั่ว แพทย์ให้กลับบ้านทั้งหมดแล้ว แต่ยังต้องประเมินกลิ่นกำมะถันกรณีเกิดเหตุก๊าซกำมะถัน ของบริษัทซันชาย ไบโอเทค อินเตอร์เนชั่นแนล ในเขตอุตสาหกรรม 304 จังหวัดปราจีนบุรี รั่วไหล ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยใกล้เคียงเกิดอาการระคายเคืองในระบบทางเดินหายใจ ต้องถูกนำส่งโรงพยาบาลกว่า 30 คน ตั้งแต่ช่วงกลางคืนวันนี้(25 พ.ย.2559) แพทย์ได้อนุญาตให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาล เกือบทั้งหมดแล้ว
ขณะที่โรงเรียนวัดบุยายใบ ซึ่งอยู่ห่างจากโรงงานดังกล่าว ประมาณ 500 เมตร ต้องหยุดเรียนตั้งแต่ช่วงเที่ยงที่ผ่านมา เนื่องจาก ยังคงมีกลิ่นสารเคมีเป็นระยะ ทั้งนี้ จะประเมินสถาการณ์อีกครั้งในเช้าวันจันทร์ว่า จะเปิดเรียนได้ตามปกติหรือไม่
ส่วนการตรวจสอบหาสาเหตุ เจ้าหน้าที่สั่งให้ระงับการใช้เครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของก๊าซกำมะถัน และให้เร่งซ่อมแซมโดยเร็ว
ส่วนการดำเนินคดีกับโรงงาน เบื้องต้น จะดำเนินคดีฐานกระทำการโดยประมาท และหากการตรวจสอบพบว่า เป็นการตั้งใจกระทำการโดยประมาท ก็จะระงับหรือเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการ

ผลกระทบสารเคมีซ.รามคำแหง



สารเคมีที่เป็นอันตราย ตามกฎหมายห้ามนำเข้ามาเก็บในพื้นที่แหล่งชุมชน แต่ที่ผ่านมายังพบบริษัท และห้างร้านจำนวนมากละเลย และมีการลักลอบเก็บโดยไม่ขออนุญาต ล่าสุดเป็นของบริษัทบิวตี้โปรเฟสชั่นนัล ใน ซ.รามคำแหง 104 ซึ่งมีการรั่วไหล ส่งผลกระทบด้านกลิ่นจนต้องอพยพนักเรียนในโรงเรียนที่อยู่ในรัศมี 200 เมตร
การขนย้ายกล่องผลิตภัณฑ์ฟอกสีผม ที่เกิดการรั่วไหล จนเกิดควันสีขาวฟุ้งกระจายในปริมาณที่หนาแน่น ภายในอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ซ.รามคำแหง104 เจ้าหน้าที่ป้องกันบรรเทาและสาธารณภัยจึงต้องสวมใส่ชุดป้องกันสารเคมี หรือ ชุดอาร์บี เพื่อไม่ให้สารเคมีสัมผัสร่างกาย หรือสูดดมเข้าไประยะเวลาในการวางแผน และขนย้ายรวมกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มจากเจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเข้าไปสำรวจร่วมกับกรมควบคุมมลพิษ เพื่อตรวจหาความรุนแรงและระดับสารเคมีที่เกิดการรั่วไหล พบว่าสารเคมีดังกล่าวเป็นสารประกอบรองของสารโปรแตสเซียม เปอตันเฟส และสารโซเดียมเปอซันเฟส ทำปฏิกิริยาจนเกิดความร้อนปล่อยก๊าสซันเฟอไดออกไซด์ และไฮโดรเยนซัลไฟ ลักษณะเป็นควันสีขาวฟุ้งกระจายในปริมาณหนาแน่น ทำให้เกิดมลพิษโดยรอบ ทางแก้ไขที่ทำได้คือการขนย้ายกล่องผลิตภัณฑ์ที่เกิดความเสียหายหว่า 200 กล่อง ลงมาจากชั้น 4 ใส่ในถังพลาสติก ก่อนฉีดน้ำเพื่อลดการฟุ้งกระจายนอกจากเกิดมลพิษในบริเวณรัศมี 200 เมตร กรุงเทพมหานครก็ยังพบว่าก๊าซยังฟุ้งกระจายไปยังโรงเรียนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ แม้เจ้าหน้าที่จะควบคุมไม่ให้สารเคมีเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้น แต่ทางโรงเรียนโสมาภานุสสรณ์ จำเป็นต้องอพยพนักเรียนกว่า 1,500 คน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1 ถึง ประถมศึกษาปีที่ 6 ออกจากพื้นที่ หลังเกิดเหตุเพียง 1 ชั่วโมงสำหรับผลกระทบ และผลข้างเคียงหากสัมผัส หรือสูดดมก๊าซในปริมาณที่มากเกินกำหนด จะรู้สึกแสบจมูก แสบตา และอาเจียน บางรายอาจส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจมีผลต่อปอด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ส่วนสาเหตุ ของการรั่วไหลเจ้าหน้าที่ตั้งข้อสันนิษฐาน อาจเกิดจากผลิตภัณฑ์หมดอายุ เมื่อถูกความชื้นจึงทำให้เกิดปฏิกิริยาของสารเคมีขึ้น สอดคล้องกับการตรวจสอบใบอนุญาติการเก็บสารเคมี ที่เจ้าหน้าที่คาดว่าบริษัทเจ้าของผลิตภัณฑ์ไม่ได้ขอใบอนุญาตจากทางสำนักงานเขต และเก็บผลิตภัณฑ์ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน โดยแยกประเภทของสารเคมีเป็นกลุ่มออกจากกัน

เหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในทะเลนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยอง



หลังจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วในทะเลนอกชายฝั่งมาบตาพุด จังหวัดระยองของบริษัทพีทีที กลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC บริษัทในกลุ่มปตท. เมื่อเช้าวันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา 6 วันหลังเหตุการณ์ วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม2556 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด พร้อมด้วยนายณัฐชาติ จารุจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย ได้ออกมาแถลงข่าวเป็นครั้งแรกที่ห้องประชุมอาคาร 1 ชั้น 6 เวลา 15.00 น. พร้อมสื่อมวลชนจำนวนมากที่มารอฟังการแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยข้อมูล ภาพถ่าย ที่โพสต์ขึ้นโซเชียลมีเดียมากมาย และข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันภาพที่นำมาโพสต์หรือนำมาเผยแพร่ที่ต่อๆกัน อาจจะไม่ใช่ภาพที่เป็นจริงในปัจจุบัน จึงทำให้การแถลงข่าวครั้งนี้เป็นคล้ายบรรยากาศสดจากสนามผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศในงานแถลงข่าว ทางบริษัท ปตท. ได้จัดเตรียมอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัย อาทิ จอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่รอบห้อง จากนั้นนายไพรินทร์เริ่มแถลงข่าวโดยกล่าวคำขอโทษและแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และยืนยันว่าจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์อย่างจริงจัง พร้อมเปิดวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ถ่ายทอดสดจากอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง เพื่อให้สื่อมวลชนเห็นว่าขณะนี้หาดทรายและน้ำทะเลใกล้กลับคืนสู่สภาพปกติแล้ว

ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534 เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวต



ระหว่างสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งแรก เมื่อปี 2534 เกิดเหตุน้ำมันดิบของคูเวตมากถึง 240-336 ล้านแกลลอน รั่วไหลไหลลงสู่อ่าวเปอร์เซียครอบคลุมพื้นที่ใหญ่กว่าเกาะฮาวายเสียอีก ไม่นับรวมน้ำมันในบ่อน้ำมันที่ถูกเผาไปอีกราว 1-1.5 พันล้านบาร์เรล สาเหตุมาจากทหารอิรักที่ยาตราทัพบุกยึดคูเวตได้เปิดวาล์วบ่อน้ำมัน 600 บ่อ และท่อส่งน้ำมันระหว่างถอนทหารออกจากคูเวตเพื่อขัดขวางทหารอเมริกันไม่ให้ตีโต้เร็วเกินไปนัก กว่าจะดับไฟที่ลุกโชนเหนือบ่อน้ำมันได้ต้องใช้เวลานานถึง 10 เดือนในส่วนของการทำความสะอาดคราบน้ำมันนั้น กองกำลังพันธมิตรนำโดยสหรัฐฯ ได้ใช้ระเบิดสมาร์ทบอม์หยุดยั้งการรั่วไหลของน้ำมันจากท่อส่งน้ำมัน แต่การฟื้นฟูต้องชะลอออกไปชั่วขณะ จนกระทั่งสงครามยุติลงแล้ว ระหว่างนั้นได้วางทุ่นกักน้ำมัน (boom) เพื่อดักจับคราบน้ำมันซึ่งเกิดไฟลุกโชนกลางอ่าวเปอร์เซียเป็นวงกว้างขนาด 25 ไมล์ รวมทั้งใช้อุปกรณ์สกิมเมอร์ (skimmer) 21 ตัว เพื่อนำคราบน้ำมันไปเก็บในภาชนะที่เตรียมไว้บนเรือ และยังใช้รถบรรทุกดูดคราบน้ำมันไปทิ้งด้วย ทั้งหมดนี้สามารถกำจัดคราบน้ำมันได้ราว 58.8 ล้านแกลลอนจากรายงานของยูเนสโกระบุว่า เหตุน้ำมันรั่วไหลที่อ่าวเปอร์เซียในครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและการประมงท้องถิ่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น รายงานนี้สรุปด้วยว่าราวครึ่งหนึ่งของคราบน้ำมันได้ระเหยกลายเป็นไอ อีกราวหนึ่งในแปดได้รับการชำระล้าง อีกหนึ่งในสี่ซัดเข้าชายฝั่งของซาอุดีอาระเบีย

เกาหลีใต้ประกาศเขตภัยพิบัติ หลังสารเคมีรั่วไหล-เสียหายหนัก


     

เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ รายงานว่า รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศพื้นที่เขตภัยพิบัติพิเศษ (special disaster) บริเวณพื้นที่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศในวันนี้ หลังเกิดอุบัติเหตุสารเคมีรั่วไหล จากการระเบิดภายในโรงงานผลิตสารเคมีแห่งหนึ่งเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านม   โดยเมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา เกิดเหตุกรดไฮโดรฟลูออริก หรือกรดกัดแก้ว ปริมาณสูงถึง 8 ตัน รั่วไหลออกจากโรงงานผลิตสารเคมี ใกล้กับเมืองกูมิ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้มีคนงานเสียชีวิต 5 ศพ เนื่องจากสารเคมีระเบิดขณะทำการขนย้าย และประชาชนกว่า 3,000 คน ล้มป่วยด้วยอาการคลื่นไส้ มีผื่นคันตามร่างกาย รวมถึงเจ็บคอและเจ็บหน้าอก มีเลือดในน้ำลายด้วย นอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดความเสียหายอย่างหนักในพื้นที่หมู่บ้านชนบท พื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายกว่า 500 เอเคอร์ สัตว์ที่เลี้ยงไว้ล้มตายกว่า 3,200 ตัว และทำให้บริษัท 80 แห่ง จำต้องปิดตัวลง สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจกว่า 17.7 พันล้านวอน (ประมาณ 492 ล้านบาท)สำหรับมาตรการในการช่วยเหลือเบื้องต้นของรัฐบาลเกาหลีใต้ ได้มีการอพยพชาวบ้านกว่า 300 คน ออกจากพื้นที่ให้ไปอยู่ที่พักอาศัยชั่วคราวที่ปลอดภัยกว่า และให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการป้องกันสารพิษ ตลอดจนการเยียวยาประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ โดยจะได้รับความช่วยเหลือด้านการเงิน ที่ครอบคลุมถึงการได้ลดภาษีเป็นการชั่วคราว และค่าชดเชยจากส่วนราชการในจำนวนที่เหมาะสม

พบสารเคมีต้องห้ามเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน ตกค้างในส่วนลึกที่สุดของมหาสมุทรแปซิฟิก


สารเคมีเหล่านี้ถูกใช้อย่างกว้างขวางในช่วงศตวรรษที่ 20 ซึ่งหลังจากนั้นก็พบว่าเป็นพิษและสะสมในสภาพแวดล้อมดร.อลัน เจมีสัน และคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ได้เก็บตัวอย่างจากเนื้อเยื่อไขมันของแอมฟิพอด (สัตว์น้ำที่มีเปลือกแข็งชนิดหนึ่ง) ที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวน้ำในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยใช้ยานดำน้ำสำรวจพื้นมหาสมทุรที่ออกแบบมาพิเศษ ปล่อยจากเรือที่ลอยอยู่เหนือร่องน้ำมารีอานา และเคอร์มาเดค ลึกลงไป 10 กิโลเมตร และห่างกัน 7,000 กิโลเมตรสารก่อมลพิษที่พบในตัวแอมฟิพอด รวมถึง โพลีคลอรีเนต ไบเฟนิล (PCBs) และโพลีโบรมิเนต ไดเฟนิล เอเธอร์ (PBDEs) ซึ่งใช้ในการผลิตฉนวนสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และวัสดุทนไฟรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งห้ามการผลิต PCB เมื่อปี 1979 และในปี 2001 ก็มีการลงนามในอนุสัญญาสต็อกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Stockholm Convention on Persistent Organic Pollutants)แต่ปริมาณการผลิตสาร PCBs ทั่วโลก จากช่วงปี 1930 จนถึงที่ถูกสั่งห้ามในปี 1970 คาดว่าจะมีถึง 1.3 ล้านตัน ซึ่งสารที่ถูกปล่อยสู่สภาพแวดล้อมทั้งจากอุบัติเหตุในอุตสาหกรรม และการไหลซึมจากกองขยะ สามารถทนทานต่อการย่อยสลายตามธรรมชาติได้ ทำให้ยังคงตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อม และในผลการศึกษาระบุว่า ยากที่จะขยายขอบเขตการวิเคราะห์ระดับการปนเปื้อนของสารที่พบบริเวณพื้นมหาสมุทรแปซิฟิก โดยสาเหตุส่วนหนึ่ง มาจากการใช้วิธีวัดค่าและเก็บข้อมูลสารปนเปื้อนที่ต่างกันในผลศึกษาก่อนหน้านี้
พบสารเคมีในห่วงโซ่อาหารรายงานระบุด้วยว่า ระดับสาร PBCs พี่พบในร่องน้ำลึกมารีอานา สูงกว่าที่พบในตัวปูจากบริเวณทุ่งนาที่รับน้ำจากแม่น้ำเลี่ยวเหอ ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำที่มีมลพิษมากที่สุดในจีน โดย ดร.เจมีสัน กล่าวว่า "แอมฟิพอด ที่เก็บตัวอย่างได้ มีระดับสารพิษปนเปื้อน มากพอ ๆ กับในอ่าวซูรุกะ ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นหนึ่งในเขตอุตสาหกรรมที่มีมลภาวะสูงที่สุดของทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก"แปซิฟิก พร้อมกับขยะพลาสติกปนเปื้อนและซากสัตว์ที่จมลงสู่ใต้ทะเล ซึ่งต่อมากลายเป็นอาหารของแอมฟิพอดและสัตว์ทะเลน้ำลึกอื่น ๆ โดยคณะผู้เขียนรายงานผลการศึกษา ระบุว่า เบื้องลึกของมหาสมุทร อาจกลายเป็น "อ่างเก็บ" หรือแหล่งรวมสารมลพิษได้ นอกจากนี้ ก็ให้เหตุผลว่า สารเคมีจะสะสมอยู่ในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งเมื่อจมลงถึงระดับน้ำลึกในมหาสมุทร ความเข้มข้นก็จะสูงกว่าที่บริเวณใกล้ผิวน้ำด้านเคเธอรีน แดฟฟอร์น แห่งมหาวิทยาลัย นิวเซาท์ เวลส์ ในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาชิ้นนี้ กล่าวว่า "แม้คณะนักวิจัย จะสามารถวัดความเข้มข้นของสาร PCBs และ PBDEs ได้ในตัวสัตว์น้ำเปลือกแข็งที่อยู่บริเวณร่องน้ำลึกในมหาสมุทร แต่ก็ยังไม่มีข้อมูลมากนักในแง่แหล่งที่มา และกลไกของการไหลมารวมกันบริเวณนี้ และยิ่งไปกว่านั้น ผลกระทบที่เป็นพิษของสารเหล่านี้ ซึ่งอ้างว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดการเพิ่มปริมาณทางชีวภาพสู่ห่วงโซ่อาหาร ก็ยังรอการทดสอบอยู่" แต่อย่างน้อย ผลการศึกษานี้ก็ "เป็นหลักฐานว่าส่วนที่ลึกลงไปของมหาสมุทร ไม่ใช่ส่วนที่อยู่ห่างไกลออกไป กลับมีความเชื่อมโยงกับผิวน้ำด้านบน และยังได้รับสารมลพิษที่ก่อโดยมนุษย์ในปริมาณเข้มข้นด้วย"

กษ.จ่อสุ่มตรวจตัวอย่างพืช-ดิน-น้ำในพื้นที่เสี่ยงมีสารเคมี


กษ. ยันปลูกพืชระบบไฮโดรโปนิกส์ ไม่ใช่เกษตรอินทรีย์ ใช้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชได้ แต่ใช้อย่างถูกต้องและปลอดภัย เผยแผนวิจัยสุ่มตรวจและเก็บตัวอย่างพืช  ดิน  น้ำ ในพื้นที่มีปัญหาเมื่อวันที่ 16 ก.ค. นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ  อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชี้แจงกรณีเพจ MOREMOVE นำเสนอข้อมูลจากมูลนิธิชีววิถีหรือไบโอไทย ระบุว่า พบสารเคมีตกค้างเกินมาตรฐานในผักไฮโดรโปนิกส์มากกว่าผักปลูกโดยใช้ดิน ว่า  การปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ไม่ใช่การทำเกษตรอินทรีย์เกษตรกรจึงสามารถใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชตามคำแนะนำบนฉลากวัตถุอันตรายได้   และเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวเช่นเดียวกับการปลูกพืชในระบบ GAP หรือการปลูกพืชในระบบอื่น  ซึ่งหากปฏิบัติตามคำแนะนำดังกล่าวจะไม่มีสารตกค้างในผลผลิตแต่อย่างใดอย่างไรก็ตาม การปลูกพืชในดินโดยปกติสารเคมีจะมีการสลายตัวได้เร็วเนื่องจากปัจจัยของอุณหภูมิและแสงแดดรวมทั้งมีจุลินทรีย์ที่ช่วยสลายสารเคมีลงไปในดิน   แต่การปลูกพืชแบบไม่ใช้ดินหรือในโรงเรือนจะไม่มีจุลินทรีย์เป็นตัวช่วยจึงสลายตัวได้ช้า  อย่างไรก็ตามกรมวิชาการเกษตรมีคำแนะนำให้เกษตรกรที่ปลูกพืชในโรงเรือนใช้ชีวภัณฑ์ เช่น ไตรโครเดอร์มา  และไส้เดือนฝอยทดแทนการใช้สารเคมี  หรือหากมีความจำเป็นต้องใช้ให้ใช้ตามคำแนะนำในฉลากและเว้นระยะการใช้ก่อนการเก็บเกี่ยวให้ถูกต้องอธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า นอกจากการให้การรับรองแหล่งผลิตแล้วกรมวิชาการเกษตรยังมีมาตรการในการเฝ้าระวังสารพิษตกค้างในผลผลิตโดยติดตามสุ่มเก็บตัวอย่างผลผลิตแล้วนำมาตรวจวิเคราะห์สารตกค้างในห้องปฏิบัติการ โดยสุ่มเก็บทั้งในแปลงซึ่งเป็นแหล่งผลิต  จุดรวบรวมผลผลิตในและโมเดิร์นเทรด โดยมีแผนการสุ่มเก็บตัวอย่างทั่วประเทศรวมจำนวน 9,000 – 10,000 ตัวอย่าง นอกจากนี้กรมวิชาการเกษตรยังได้จัดทำโครงการวิจัยแร่งด่วน  โดยทำการสำรวจสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัย  และวิจัยสารพิษตกค้างในพืชผัก ผลไม้ที่มีความเสี่ยงจากสารเคมีทางการเกษตร ด้วย โดยสำรวจและติดตามผลกระทบในน้ำและดินมีเป้าหมายในการเก็บชนิดและจำนวนตัวอย่าง 800 ตัวอย่างเพื่อนำมาตรวววิเคราะห์สารตกค้าง